วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563

สื่อเบียร์ยัน "ซาบิตเซอร์" สนแจมรังไก่จริง

 คริสเตียน โฟล์ก ผู้สื่อข่าวอาวุโสจาก สปอร์ต บิลด์ รายงานว่า มาร์เซล ซาบิตเซอร์ ตัวรุกสารพัดประโยชน์ของ แอร์เบ ไลป์ซิก สนใจอยากย้ายมาเล่นให้ ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ ในช่วงตลาดมกราคมที่จะถึงนี้ เพราะ 2 เหตุผลคือเรื่องค่าจ้างและการได้ร่วมงานกับ โชเซ มูรินโญ

หลังจากมีกระแสว่ากัปตันไลป์ซิกเป็นตัวเลือกแรกที่ท็อตแน่มจะดึงมาในตลาดหน้าหนาวด้วยสนนราคา 45 ล้านปอนด์ เนื่องจากมีคุณสมบัติแบบที่มูรินโญอยากได้คือ ขยัน, ยืดหยุ่นในแผงกลาง แถมมีทีเด็ดในการทำประตู, แอสซิสต์ และลูกนิ่ง

ปัจจุบันดาวเตะทีมชาติออสเตรียวัย 26 ปี รับค่าจ้างสูงสุดทีม 5.5 ล้านปอนด์ต่อปี (ราว 1.14 แสนปอนด์ ต่อสัปดาห์) ซึ่งจัดว่าสูงมากสำหรับฟุตบอลบุนเดสลีกาและทางทีมคงเพิ่มให้มากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

ทำให้เมื่อมองเรื่องสัญญาของซาบิตเซอร์ที่เหลืออีกแค่ 18 เดือนโดยไร้ท่าทีเซ็นเพิ่มนั้น เปิดโอกาสทัพไก่เดือยทองบุกรวบหัวรวบหางทันควันในช่วงตลาดนักเตะหลังปีใหม่ได้เลย



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> bossufabet.com | beufabet.com

วันพุธที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2563

คอนเต้ ปลื้ม อินเตอร์ เล่นแบบกระหายชัยชนะ

 อันโตนิโอ คอนเต้ เฮดโค้ช อินเตอร์ มิลาน กล่าวชื่นชมลูกทีมว่า เล่นด้วยความมุ่งมั่นและกระหายในชัยชนะ หลังจากที่ทัพ "งูใหญ่" บุกไปพิชิต เฮลลาส เวโรน่า 2-1 ในศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เมื่อวันพุธที่ 23 ธันวาคม ที่ผ่านมา

     ครึ่งแรกทั้งสองฝ่ายทำอะไรกันไม่ได้ แต่เริ่มครึ่งหลังมาได้แค่ 7 นาที อินเตอร์ ขึ้นนำ 1-0 จาก เลาตาโร่ มาร์ติเนซ ทว่าในนาทีที่ 63 เจ้าถิ่นตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จ จากผลงานทำประตูของ อีวาน อิลิช อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นแค่ 6 นาที "งูใหญ่" ขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 และถือเป็นประตูชัย จากการโขกของ มิลาน สคริเนียร์ ซึ่งชัยชนะนัดนี้ทำให้ "เนรัซซูร์รี่" แซง เอซี มิลาน (ลงเตะทีหลังเจอกับ ลาซิโอ) ขึ้นรั้งตำแหน่งจ่าฝูงชั่วคราว โดยมี 33 แต้ม จากการลงแข่ง 14 นัด ส่วน เวโรน่า รั้งอันดับเก้า มี 20 แต้ม จาก 14 นัด 

     "เราคว้าชัยชนะเหนือทีมที่แข็งแกร่ง ซึ่งก็ต้องชื่นชม อีวาน ยูริช (กุนซือ เวโรน่า) ด้วย ที่กำลังทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม วันนี้เราได้แสดงให้เห็นว่า เราต้องการชัยชนะมากๆ นี่เป็นชัยชนะนัดที่เจ็ดติดต่อกันสำหรับเรา (ในลีก) ซึ่งเราจำเป็นต้องทำให้ได้แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่ฤดูกาลนี้ยากกว่าฤดูกาลที่แล้วด้วยซ้ำ"

     "มันเป็นฤดูกาลที่คุณสามารถทำแต้มหลุดมือได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าเจอกับใคร เราจำเป็นต้องมีสมาธิ และวันนี้เราได้แสดงให้เห็นถึงความกระหายในชัยชนะและความมุ่งมั่น นอกจากนี้ ผมก็แฮปปี้ที่ เลาตาโร่ ทำประตูได้ (ก่อนหน้านี้ยิงไม่ได้มา 8 เกมติด) เพราะผู้เล่นกองหน้าหากทำประตูไม่ได้มานานหลายเกม พวกเขาจะรู้สึกประหม่า แต่วันนี้เขามีเกมที่ดีมาก" คอนเต้ เปิดใจหลังเกม



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> aisufabet.com | 4thinkufabet.com

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2563

3 ทีมยักษ์พรีเมียร์ลีก สนดึง "กรีลิช" เสริมทัพ

 แมนฯ ยูไนเต็ด เจองานลำบากในการล่าตัว แจ็ค กรีลิช กองกลางจอมทัพของ แอสตัน วิลล่า แล้ว เมื่อมีข่าวว่าทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนฯ ซิตี้ ต่างก็พร้อมที่จะเข้าร่วมวงแย่งตัวเขาด้วย

เพลย์เมกเกอร์ สิงห์ผงาด เป็นหนึ่งในนักเตะที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้

ตามรายงานจาก เดอะ มิร์เรอร์ เปิดเผยว่าด้วยฟอร์มอันร้อนแรงของ กรีลิช กับ วิลล่า ทำให้ ลิเวอร์พูล ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีก และ แมนฯ ซิตี้ ร่วมแจมในการล่าลายเซ็นต์เขาด้วย

กรีลิช เพิ่งจะเซ็นสัญญาใหม่อีก 5 ปีในถิ่นวิลล่า พาร์ค เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดความสนใจจากบรรดาทีมยักษ์ใหญ่ในพรีเมียร์ลีกที่มีต่อตัวเขาเลย

ดาวเตะทีมชาติอังกฤษได้ชื่อว่าเป็นเป้าหมายของ ผีแดง มานานมากแล้ว และสโมสรก็มีความกระตือรือร้นที่จะหามิดฟิลด์ตัวสร้างสรรค์เกมมาเสริมทัพ

กระนั้นจากข่าวเรื่องอนาคตที่ไม่แน่นอนของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ทำให้ หงส์แดง พร้อมที่จะปาดหน้าเพื่อเซ็นสัญญากับแข้งที่เป็นแฟน วิลล่า มาตั้งแต่เด็ก

ด้าน เรือใบ ก็เป็นที่รู้กันดีว่าชื่นชอบ กรีลิช อย่างมาก และ วิลล่า อาจได้รับข้อเสนอก้อนใหญ่ในเดือนมกราคม

สำหรับ กรีลิช วัย 25 ปี ทำไปแล้ว 5 ประตู และ 7 แอสซิสต์ จาก 12 นัดในลีก



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> aisufabet.com  | 4thinkufabet.com

วันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2563

โซลชา หน้าบาน แมนยู ฟอร์มโหดขยี้ ลีดส์

 โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ผู้จัดการทีม "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กล่าวยกย่องผลงานของลูกทีมที่เล่นได้ดีเยี่ยมในแมตช์ถล่ม "ยูงทอง" ลีดส์ ยูไนเต็ด 6-2 ที่สนามโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เกมพรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 20 ธันวาคมที่ผ่าน 

    ศึก "สงครามกุหลาบ" ในครั้งนี้ "เร้ด เดวิลส์" โชว์ฟอร์มข่ม ลีดส์ แบบมิดด้าม โดยพวกเขาได้ 6 ประตูจาก สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ (2 ประตู), บรูโน่ แฟร์นันด์ส (2 ประตู), วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ, และ แดเนี่ยล เจมส์ ขณะที่ทีมเยือนได้ 2 ประตูจาก เลียม คูเปอร์ กับ  สจ๊วร์ต ดัลลัส 

สำหรับ 3 คะแนนในแมตช์นี้ทำให้ แมนฯ ยูไนเต็ด ขยับขึ้นมาอยู่อันดับ 3 มี 26 คะแนนตามหลัง ลิเวอร์พูล จ่าฝูง 5 แต้มแต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด โดย โซลชา เปิดใจว่า "มันสุดยอด และน่าอัศจรรย์ที่สุด ตั้งแต่นาทีแรกเรามีแผนที่จะไล่บี้พวกเขา พยายามเติมเกมบุกเมื่อเราได้บอล และแน่นอนว่า สกอตต์ (แม็คโทมิเนย์) ยิง 2 ประตูในช่วงเวลา 3 นาทีซึ่งเป็นการเริ่มต้นเกมที่ยอดเยี่ยมมากๆ"

    "เรามักจะถูกวิจารณ์ช่วงการเล่นต้นเกม แต่นักเตะทุกคนมีการเตรียมความพร้อมมาเป็นอย่างดี เราทำผลงานได้ยอดเยี่ยม เรานั่งดูวีดิโอ และมองหาแนวทางที่จะทำลายพวกเขา สกอตต์ เคยเล่นเป็นกองหน้าสมัยที่ยังเป็นเด็ก เขามีสภาพร่างกายที่แข็งแกร่ง เขาสามารถเอาชนะการเล่นลูกกลางอากาศ, การเข้าเสียบสกัด แต่เขายังเต็มไปด้วยความแข็งแก่ง และความรวดเร็ว"

    "เขามักจะวิ่งหาพื้นที่ซึ่งเราคาดหวังให้เขาทำแบบนี้ และมันเป็นการทำงานที่ยอดเยี่ยมจากผู้เล่นทุกคนในการสร้างพื้นที่และจบสกอร์ที่เด็ดขาด บางครั้งผมต้องหยุด สกอตต์ จากการพยายามเติมเกมบุกมากเกินไป เพราะเขามีธรรมชาติของการเป็นมิดฟิลด์ตัวรุก แต่เมื่อเขามองเห็นพื้นที่ว่างตรงหน้าเขา แล้วทำไมต้องหยุดเขาให้ทำแบบนั้นด้วยละ ? เขายังคอยทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันแผงแบ็กโฟร์ด้วย"



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> http://maligue1.com/ | http://gpfgoyang.com/

วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เตรียมรับเละ! เอ็ดพร้อมยื่นสัญญาใหม่ เทค่าเหนื่อยรั้ง แรชฟอร์ด

 เอ็ด วู้ดเวิร์ด รองประธานบริหารของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ พร้อมจะยื่นสัญญาฉบับใหม่ให้ มาร์คัส แรชฟอร์ด กองหน้าคนเก่ง โดยที่จะเพิ่มค่าเหนื่อยให้เขาเป็นสัปดาห์ละ 300,000 ปอนด์ (ประมาณ 12 ล้านบาท) ตามรายงานของ เดลี่ สตาร์ สื่อของเมืองผู้ดี

    แม้ว่าฟอร์มจะยังไม่คงเส้นคงวาเท่าที่ควร แต่ฤดูกาลนี้ แรชฟอร์ด ก็ทำประตูให้ทีมไปแล้ว 12 ลูกจากการลงเล่น 20 เกมในทุกรายการ แถมช่วงที่ผ่านมาเขาก็ได้รับคำชมจากหลายฝ่ายจากการที่พยายามสู้เพื่อให้เด็กในสหราชอาณาจักรได้มีอาหารกินแบบฟรีๆ ในช่วงที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จนทำให้เขามีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นไปอีก

    ทั้งนี้ สัญญาฉบับปัจจุบันของ แรชฟอร์ด มีผลจนถึงปี 2023 พร้อมกับมีอ็อปชั่นที่จะขยายสัญญาอีก 12 เดือน โดยตอนนี้เขาได้ค่าเหนื่อย 200,000 ปอนด์ (ประมาณ 8 ล้านบาท) ต่อสัปดาห์ แต่ วู้ดเวิร์ด ก็ต้องการให้ดาวเตะชาวอังกฤษอยู่เป็นกำลังหลักของทีมไปอีกนานจนพร้อมจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้เขาเป็นสัปดาห์ละ 300,000 ปอนด์เลย แถมตัวสัญญาก็จะมีระยะเวลาถึง 5 ปีด้วย

    เป็นที่เชื่อกันว่า วู้ดเวิร์ด จะเปิดการเจรจากับ แรชฟอร์ด และทีมงานของอีกฝ่ายในอีก 2 เดือนต่อจากนี้ โดยเขาอยากจับลูกหม้อของสโมสรต่อสัญญาให้ได้ก่อนที่จะถึงศึก ยูโร ในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้า เพราะพอถึงตอนนั้นแล้ว แรชฟอร์ด อาจจะเล่นได้โดดเด่นกับทีมชาติอังกฤษจนทำให้ต่อสัญญากับเขาได้ยากขึ้น



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> http://maligue1.com/  | http://gpfgoyang.com/

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2563

นูโน่ ชูแข้ง วูล์ฟส์ สู้ไม่ถอยจนพลิกสอย เชลซี

 นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต กุนซือ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส อวยลูกทีมสู้ได้สุดยอดในเกมพลิกเชือด เชลซี 2-1 ระบุทุกคนแฮปปี้กันสุดๆ กับชัยชนะครั้งนี้ 

นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต ผู้จัดการทีม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส กล่าวชื่นชมลูกทีมว่า มีความมุ่งมั่นและพยายามดีเยี่ยม หลังจากที่ทัพ "หมาป่า" เปิดบ้านเอาชนะ เชลซี 2-1 ในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ เมื่อวันอังคารที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา

เชลซี เป็นฝ่ายขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 49 จากการยิงของ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ อย่างไรก็ตาม นาทีที่ 66 วูล์ฟส์ ตามตีเสมอเป็น 1-1 จากผลงานของ ดาเนี่ยล โปเดนซ์ ก่อนมาได้ประตูพลิกคว้าชัยในนาทีที่ 90+5 จากการยิงสุดเฉียบของ เปโดร เนโต้ 

เมื่อคุณทำงานหนักเหมือนกับที่เด็กๆ ของผมทำในเกมนี้ คุณย่อมได้รางวัลตอบแทน ซึ่งเราทุกคนต่างก็แฮปปี้กันมากๆ ฟุตบอลคือเกมกีฬา และคุณก็ต้องเล่นต่อไปจนกระทั่งได้ยินเสียงนกหวีดจากกรรมการ นี่แหละคือสิ่งสำคัญ เรามีสมาธิ, มีความเชื่อมั่น, ทุ่มเท และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ผมคิดว่านี่คือแคแรคเตอร์ของเรา" กุนซือชาวโปรตุกีส กล่าวหลังเกม 



ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> http://maligue1.com/ | http://gpfgoyang.com/

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ไรโอล่า ตอบเรื่องอนาคต ป็อกบา

 มิโน่ ไรโอล่า นายหน้าของ ปอล ป็อกบา มิดฟิลด์ แมนฯ ยูไนเต็ด ระบุ มันมีโอกาสน้อยสุดๆ ที่แข้งชาวฝรั่งเศสจะได้ย้ายทีมในช่วงเดือนมกราคมนี้ พร้อมแอบเหน็บคนในอังกฤษว่าอ่อนไหวเกี่ยวกับเรื่องของ ป็อกบา ง่ายสุดๆ

    มิโน่ ไรโอล่า เอเยนต์ของ ปอล ป็อกบา กองกลาง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สโมสรดังของศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ยอมรับว่ามันคงเป็นไปได้ยากที่นักเตะในความดูแลของตนจะได้ย้ายทีมในตลาดซื้อ-ขายนักเตะ รอบ 2 ช่วงเดือนมกราคมนี้

    อนาคตของ ป็อกบา กลายเป็นประเด็นร้อนตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมาหลังจากที่ ไรโอล่า ให้สัมภาษณ์กับ ตุ๊ตโต้สปอร์ต ว่าดาวเตะชาวฝรั่งเศสไม่มีความสุขในการเล่นให้ทีมแล้ว และจะไม่ต่อสัญญาแน่นอน โดยสัญญาฉบับปัจจุบันระหว่างทั้ง 2 ฝ่ายก็มีผลจนถึงช่วงซัมเมอร์ ปี 2022 เท่านั้น

    ทันทีที่ ไรโอล่า ให้สัมภาษณ์แบบนั้น มันก็ทำให้หลายคนของฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ตำหนิเขาอย่างหนัก และทำให้เกิดข่าวลือว่าดาวเตะวัย 27 ปี อาจจะย้ายทีมตั้งแต่ตลาดช่วงเดือนมกราคมนี้เลย โดย ยูเวนตุส คือทีมที่มีข่าวกับเขาหนักที่สุดในช่วงไม่กี่วันมานี้

    ไรโอล่า ให้สัมภาษณ์ตอนไปร่วมงานมอบรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมหรือ โกลเด้นบอย อวอร์ด ของทาง ตุ๊ตโต้สปอร์ต ที่ประเทศอิตาลีว่า "ในอังกฤษน่ะคนอ่อนไหวกันง่ายมากๆ เวลามีการพูดถึงเขา บางทีอาจจะอ่อนไหวกันเกินไปด้วยซ้ำ บรรดานักเตะชั้นยอดน่ะแทบจะไม่ค่อยย้ายทีมกันในช่วงเดือนมกราคมหรอก มารอดูกันดีกว่าว่าพอถึงช่วงซัมเมอร์แล้วจะเป็นยังไง ป็อกบา จะมีอนาคตที่ยอดเยี่ยมแน่นอน"


ติดตามข่าวเพิ่มเติม >> https://bulahdelahevents.com/ | http://banknegar.com/

วันพุธที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2563

สุรีย์ สุขะ ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 38 ปี

 สุรีย์ สุขะ อดีตแบ็กขวาทีมชาติไทย วัย 38 ปี ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างเป็นทางการ ผ่านเฟซบุ๊กของภรรยาสาว โดยระบุข้อความว่า


"ครบรอบ 1 ปีกับการมาอยู่จังหวัดกาญจนบุรี เมืองแห่งการท่องเที่ยว ครบรอบ 20 ปีกับการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ขอบคุณพี่ยุ่นโค้ชใจดีเลี้ยงข้าวน้องตลอด ขอบคุณสโมสร ขอบคุณประธานสโมสรทุกท่าน ขอบคุณทีมงานสตาฟฟ์โค้ชทุกคน ขอบคุณน้องๆในทีมที่น่ารักกับพี่สองคนมาตลอด ขอบคุณกัลยาณมิตรทุกๆคนที่ให้ความรักความจริงใจกับเราสองคนมาตลอด ขอบคุณแฟนบอลทุกคนที่ให้การสนับสนุนพี่เปรมมาตลอดระยะเวลาที่แกเล่นฟุตบอลอาชีพมา ขอบคุณทุกสโมสรที่ให้โอกาส สุรีย์ ได้สร้างสีสันในวงการฟุตบอล"

"สุดท้ายพี่ขอให้น้องๆประสบความสำเร็จในฐานะนักฟุตบอลอาชีพที่น้องๆตั้งใจ พี่สองคนเป็นกำลังใจให้ ท้ายที่สุดนี้พี่เปรมขอยุติบทบาทการเป็นนักฟุตบอลอาชีพแต่เพียงเท่านี้ ไม่อยากให้สามีเล่นอีกแล้วเฒ่าแล้วสงสารเวลาเจ็บ ต่อไปหนูจะเลี้ยงพี่เองนะพี่เหนื่อยมานานละ แต่ตอนนี้โอนมา 3 หมื่น"

สำหรับ สุรีย์ สุขะ พร้อมคู่แฝด สุรัตน์ สุขะ ก้าวขึ้นมาแจ้งเกิดกับ ชลบุรี เอฟซี ในชุดแชมป์ไทยลีก ร่วมถึงเคยไปทดสอบฝีเท้ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ระยะสั้น ก่อนมาอยู่ในเมืองไทยกับ ชลบุรี อีกครั้ง ก่อนย้ายไป บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด, อุบล ยูเอ็มที, ราชบุรี มิตรผล เอฟซี, เมืองกาญจน์ ยูไนเต็ด รวมถึงล่าสุด กาญจนบุรี เอฟซี

ส่วนในนามทีมชาติ สุรีย์ เคยคว้าแชมป์ซีเกมส์เมื่อปี 2005 ที่ฟิลิปปินส์ รวมถึงเคยติดทีมชาติไทยผ่านการลุยศึกใหญ่มาครบทุกรายการ ไม่ว่าจะเป็นคิงส์คัพ, เอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ, เอเชียน คัพ และฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก


ติดตาม >> https://bulahdelahevents.com/ | http://banknegar.com/

วันอังคารที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ควีวีน เผยข้อความ อลีสซงส่งมาหาหลังลงเฝ้าเสา

 ควีวีน เคลเลเฮอร์ ผู้รักษาประตูดาวรุ่ง ลิเวอร์พูล เปิดเผยว่า อลีสซง เบ็คเกอร์ โกลมือ 1 "หงส์แดง" ส่งขัอความมาแสดงความยินดี และรู้สึกภาคภูมิใจ หลังได้โอกาสลงเฝ้าเสาให้กับทีมแล้วทำผลงานเยี่ยมตั้งแต่เกมเฉือน อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม 1-0 ในถ้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก และถล่ม วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส 4-0 ในเกม พรีเมียร์ลีก เมื่อวันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม ที่ผ่านมา

นายด่านไอริชวัย 22 ปี ได้รับโอกาสจาก เจอร์เก้น คล็อปป์ กุนซือชาวเยอรมัน ให้ลงมาเล่นอย่างน่าประหลาดใจ หลัง อลีสซง บาดเจ็บเอ็นหลังหัวเข่าต้องพักราว 2 สัปดาห์ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมา อาเดรียน เป็นโกลมือ 2 ของทีม และเจ้าตัวก็ไม่ทำให้เจ้านายต้องผิดหวังเพราะโชว์ฟอร์มเยี่ยมทั้ง 2 เกม  

ด้าน คล็อปป์ ยืนยันว่า ลิเวอร์พูล มีความมุ่งมั่นที่จะเก็บ 3 คะแนนเต็มในเกมพบ มิดทิลแลนด์ แม้ "หงส์แดง" รับประกันการเป็นแชมป์กลุ่ม ดี ไปแล้วก็ตาม หลังมี 12 แต้มจาก 5 เกม ขณะที่ อตาลันต้า รั้งอันดับสองมี 8 คะแนน ตามมาด้วย อาแจ็กซ์ 7 คะแนน และ มิดทิลแลนด์ 1 คะแนน

"เรามีนักเตะสำคัญบางรายบาดเจ็บ นั่นชัดเจน แต่เมื่อเวลาประตูบานหนึ่งปิด มันก็จะมีอีกประตูที่เปิดออก อย่างไรก็ตาม คุณจำเป็นต้องใช้งานเด็กๆ ให้เหมาะสม เราต้องการเอาชนะเกมนี้ และมันจะเป็นเกมที่ยากแน่ เพราะพวกเขาเป็นทีมที่ยากเล่นด้วย เราต้องเตรียมพร้อมเต็มที่" คล็อปป์ ทิ้งท้าย



ติดตาม >> http://perfect-cash.net/ | http://leschatsdelimeil.com/

วันจันทร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2563

สโคลส์แนะ ไวจ์นัลดุม ควรลา ลิเวอร์พูล หรือไม่

 พอล สโคลส์ ตำนานกองกลางของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แสดงความเชื่อว่า จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม กองกลาง ลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องย้ายไปอยู่กับ บาร์เซโลน่า แม้แต่นิดเดียว เพราะตอนนี้ "หงส์แดง" เป็นทีมที่เล่นเกมรุกได้ดีสุดๆ อยู่แล้ว

ไวจ์นัลดุม ตกเป็นข่าวกับ บาร์เซโลน่า ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา หลังจากที่ โรนัลด์ คูมัน กุนซือคนใหม่ของที่นั่นมีความสนิทสนมกับเขาในระดับหนึ่ง และถึงแม้การย้ายทีมจะไม่เกิดขึ้น แต่กระแสข่าวระหว่างดาวเตะชาวดัตช์กับ "อาซูลกราน่า" ก็ยังมีออกมาเรื่อยๆ แถมแข้งวัย 30 ปีก็จะหมดสัญญากับทีมในช่วงซัมเมอร์ ปีหน้าแล้วด้วย

สโคลส์ เผยว่า "เขาจะอยากย้ายทีมไปทำไมกัน ในเมื่อพวกเขา (ลิเวอร์พูล) กำลังเล่นเกมรุกได้สุดยอดแบบนี้ทุกสัปดาห์เนี่ยนะ ? เขาเป็นข่าวกับ บาร์เซโลน่า และการย้ายทีมก็ไม่เกิดขึ้น แต่เขาจะอยากย้ายไปทำไมกัน ? ผมคิดว่าพวกเขาจะได้แชมป์ลีกอีกครั้ง และตอนนี้เขาก็กำลังเล่นให้กับทีมที่มีเกมรุกน่าตื่นตาตื่นใจ"

"แน่นอน เขาเป็นนักตะที่มีสไตล์เข้ากับ บาร์เซโลน่า และน่าจะเข้ากับระบบของ บาร์เซโลน่า ได้แบบสบายๆ ถ้าเขาย้ายไปอยู่ที่นั่นมันก็จะมี ดัตช์ คอนเน็คชั่น ที่ใหญ่มากๆ ที่ บาร์เซโลน่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ คูมัน คุมทีมอยู่ที่นั่น แต่ถ้าเป็นคุณ คุณจะอยากย้ายออกจากทีมที่เล่นเกมรุกได้น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้ไปทำไมกัน ?"



ติดตาม >> http://perfect-cash.net/ | http://leschatsdelimeil.com/

วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ตอบแทนผลงาน!แมนยูเตรียมเบิ้ลค่าเหนื่อยบรูโน่2เท่า

 เดอะ มิร์เรอร์ สื่อจากประเทศอังกฤษ รายงานว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด วางแผนที่จะยื่นข้อเสนอเพิ่มค่าเหนื่อยให้กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ยอดเพลย์เมคเกอร์ทีมชาติโปรตุเกส เป็น 200,000 ปอนด์ หรือประมาณ 8.1 ล้านบาท ต่อสัปดาห์ โดยจำนวนเงินดังกล่าวเป็นการเพิ่มขึ้น 2 เท่าจากของเดิม 


แม้ บรูโน่ เพิ่งย้ายมาอยู่กับ "ปีศาจแดง" ได้เพียงแค่ 11 เดือน หลังจากเซ็นสัญญากันเป็นเวลา 4 ปีครึ่งนับตั้งแต่ช่วงตลาดหน้าหนาวปี 2020 แต่ฟอร์มการเล่นของมิดฟิลด์รายนี้ สร้างผลกระทบเชิงบวกให้แก่ทัพ "เร้ด เดวิลส์" มหาศาล ขณะที่ฟอร์มส่วนตัวทำไปแล้ว 22 ประตู กับอีก 15 แอสซิสต์ จากการลงสนาม 37 นัดภายใต้การคุมทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา รวมถึงในซีซั่นนี้ที่เจ้าตัวเป็นผู้นำเรื่องการทำประตูจากการยิงไป 7 ลูก กับอีก 4 แอสซิสต์ จากการลงเล่น 10 นัดในศึก พรีเมียร์ลีก 2020/21


โดยปัจจุบัน ค่าเหนื่อยของ บรูโน่ รับอยู่ที่ 100,000 ปอนด์หรือประมาณ 4.05 ล้านบาท ต่อสัปดาห์ ซึ่งเทียบเท่ากับที่ เจสซี่ ลินการ์ด มิดฟิลด์ดีกรีทีมชาติอังกฤษ และ ดีน เฮนเดอร์สัน นายด่านมือสองได้รับ และทาง เดอะ มิร์เรอร์ ระบุว่า แมนฯ ยูไนเต็ด มองว่า บรูโน่ เป็นกำลังหลักของทีมที่จะพาให้สโมสรก้าวไปข้างหน้า และเพื่อเป็นการตบรางวัลจากผลงานอันยอดเยี่ยม "ปีศาจแดง" จึงจะเพิ่มค่าเหนื่อยให้ 2 เท่าซึ่งจะเท่ากับว่า บรูโน่ จะได้รับเงินค่าแรงในสัญญาฉบับใหม่เป็น 200,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์ พร้อมขยายระยะเวลาสัญญาไปอีก 12 เดือน



ติดตาม >> http://leschatsdelimeil.com/ |  http://perfect-cash.net/

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

ไม่อยากหน้าอกหย่อนยาน ต้องเลิกทำ 5 ข้อนี้

เรื่องของหน้าอกหน้าใจ เป็นเรื่องที่สาวๆกังวลมากที่สุด ก็คงไม่มีใครอยากจะเห็นหน้าอกของตัวเองหย่อนยาน แต่ถ้าคุณสาวๆ ยังมีพฤติกรรมเหล่านี้ละก็ ฝันร้ายก็อาจจะมาเยือนได้ง่ายๆ หน้าอกที่เคยเต่งตึง ก็มีโอกาสหย่อนยานมากยิ่งขึ้น มาดูกันค่ะ ว่าอะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าอกของสาวๆ หย่อนยานเสียทรงกันได้บ้าง เพื่อให้สาวๆ ไหวตัวทัน หยุดทำกันซะตั้งแต่เนิ่นๆ



1.สวมใส่ชุดชั้นในที่ไม่เหมาะสมกับขนาดหน้าอก

การเลือกชุดชั้นในเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้สรีระหน้าอกหน้าใจของสาวๆ ดูสวยเต่งตึงได้ ดังนั้นควรเลือกที่ใส่แล้วฟิตพอดี ไม่ควรเลือกชุดชั้นในที่เล็กเกินขนาดหน้าอก เพราะถ้าคุณยิ่งใส่ชุดชั้นในรัดมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานไม่ปกติ จนทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆ ของหน้าอกตามมาได้

2.ออกกำลังกายโดยไม่ใส่ปอร์ตบรา

ข้อนี้สาวๆ ที่รักการออกกำลังกายต้องจำไว้ให้ขึ้นใจเลยนะคะ ถ้าคุณไม่สวมใส่สปอร์ตบราขณะออกกำลังกาย จะยิ่งทำให้รูปทรงของหน้าอกคล้อยตามสภาพแรงโน้มถ่วงมากขึ้น เป็นสาเหตุที่ทำให้หน้าอกหย่อนคล้อยได้ง่าย ดังนั้นควรเลือกสวมใส่สปอร์ตบรา ที่มีขนาดพอดีกับหน้าอก ก่อนออกกำลังกายทุกครั้งนะคะ

3.ลดน้ำหนักแบบผิดๆ

การลดน้ำหนักแบบผิดๆ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เต้านมหรือหน้าอกหน้าใจของสาวๆ หย่อนคล้อยได้ โดยเฉพาะการลดน้ำหนักแบบหักโหมด้วยการอดอาหารหรือกินยาลดน้ำหนัก ถือเป็นตัวการที่ทำให้การหลั่งฮอร์โมนต่างๆ ในร่างกายเสียความสมดุล ส่งผลให้หน้าอกหย่อนยาน เหี่ยว และเล็กลงได้

4.ดื่มแอลกอลฮอล์และสูบบุหรี่

การดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ และสูบบุหรี่จัด นอกจากจะส่งผลเสียต่อร่างกายโดยรวมแล้ว ยังมีผลกระทบต่อหน้าอกของคุณสาวๆ ด้วย เพราะสารเคมีในบุหรี่และแอลกอฮอล์จะเป็นตัวการทำให้ร่างกายสูญเสียความยืดหยุ่น คอลลาเจนหดหาย ส่งผลให้หน้าอกหน้าใจของคุณสาวๆ ไม่กระชับ หย่อนคล้อยได้ง่าย

5.กินของหวานเป็นประจำ

สาวๆ ที่ชอบกินเค้ก กาแฟ ช็อกโกแลต ขาไข่มุก หรืออาหารหวานทุกประเภท เบรคตัวเองสักนิดไว้ก็ดี เพราะการบริโภคหวานเป็นประจำ เป็นเหตุทำให้ร่างกายกระตุ้นการหลั่งสารอินซูลินมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะทำให้หน้าอกสูญเสียความยืดหยุ่นแล้ว ก็ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้านมได้ด้วย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

5 อาหารเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” มะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของไทย

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

5 อาหารเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” มะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้นๆ ของไทย

มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับต้น ๆ ของหลายประเทศทั่วโลก ด้วยวิถีการดำเนินชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของประชากรส่งผลให้แนวโน้มอุบัติการณ์

การเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นำมาสู่สาเหตุการตายและปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญซึ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี



1. อาหารไขมันสูง

2. อาหารฟาสฟูดส์ต่างๆ

3. อาหารปิ้งย่างไหม้เกรียม

4. อาหารจากน้ำมันทอดซ้ำ

5. เนื้อสัตว์แปรรูป

นอกจากนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น

1. การสูบบุหรี่

2. ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

3. การขาดการออกกำลังกาย 

4. การมีภาวะอ้วนน้ำหนักเกิน

5. มีประวัติครอบครัวหรือตนเองเป็นติ่งเนื้อในลำไส้



อาการของโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่เริ่มจากการเกิดติ่งเนื้อในลำไส้ (polyp) และพัฒนาจนเป็นมะเร็งโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 10-15 ปี มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงมักจะไม่มีอาการในระยะเริ่มแรกของโรค จะมีอาการก็ต่อเมื่อโรคลุกลามมากขึ้นจนถึงระยะสุดท้าย

ส่งผลทำให้การรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร ซึ่งอาการของโรคที่พบบ่อย ได้แก่ การถ่ายอุจจาระผิดปกติ มีอาการท้องผูกสลับท้องเสีย ถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ถ่ายไม่สุด ถ่ายเป็นมูกหรือ มูกปนเลือด หรืออาจถ่ายเป็นเลือดสด ขนาดลำอุจจาระเล็กลง และมีอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด จุกเสียด เป็นต้น


มะเร็งลำไส้ใหญ่ ตรวจคัดกรองได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงเป็นมะเร็งที่สามารถตรวจคัดกรองเพื่อค้นหามะเร็งในระยะเริ่มแรกได้ ส่งผลให้การรักษาได้ผลดีและมีโอกาสหายจากโรคสูง ผู้ที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ควรรับการตรวจคัดกรองโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงโดยการตรวจหาเลือดแฝงในอุจจาระปีละครั้ง

หากผิดปกติควรได้รับการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ กรณีพบติ่งเนื้อหรือความผิดปกติในลำไส้ใหญ่ แพทย์จะทำการตัดชิ้นเนื้อบริเวณดังกล่าวเพื่อวินิจฉัยต่อไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

5 วิธีธรรมชาติช่วยสุขภาพจิตในยามตึงเครียด

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563

5 วิธีธรรมชาติช่วยสุขภาพจิตในยามตึงเครียด


ทุกวันนี้ชีวิตของคนเรามีแต่ความตึงเครียด และหากวิธีรับมือกับความเครียดของคุณเองใช้ไม่ได้ผลแล้ว ยังมีวิธีที่ได้รับการสนับสนุนทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถช่วยบรรเทาความวิตกกังวล ความซึมเศร้า และความเครียดเหล่านั้นได้ วิธีที่ว่านี้เป็นวิธีทางธรรมชาติโดยไม่จำเป็นต้องมีใบสั่งแพทย์

นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การออกกำลังกาย ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตที่ไปหล่อเลี้ยงสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่มีบทบาทในการควบคุมแรงจูงใจ อารมณ์ และการตอบสนองต่อความเครียด นอกจากนี้ยังช่วยปล่อยสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ให้ความรู้สึกดีกับร่างกายอีกด้วย

นอกจากนี้การศึกษาพบว่าไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบที่มีความเข้มข้นสูงเพื่อลดความเครียด แต่การออกกำลังกายแบบเข้มข้นระดับปานกลาง ซึ่งหมายถึงการออกกำลังกายหนักพอที่จะสามารถพูดไปด้วยได้ แต่ไม่ถึงขนาดร้องเพลงไปด้วยได้นั้นจะช่วยลดภาวะซึมเศร้าได้

การศึกษาหลายๆ ฉบับแสดงให้เห็นถึงประโยชน์สูงสุดจากการออกกำลังกายแบบเป็นจังหวะซึ่งจะทำให้เลือดสูบฉีดในกล้ามเนื้อกลุ่มที่สำคัญ การออกกำลังกายที่ว่ารวมไปถึงการวิ่ง ว่ายน้ำ การปั่นจักรยาน และการเดิน เพียงวันละ 15 ถึง 30 นาทีอย่างน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ตลอดระยะเวลา 10 สัปดาห์หรือนานกว่านั้นในระดับความเข้มข้นต่ำถึงปานกลาง ก็จะช่วยให้จิตใจสงบและมีสุขภาพที่ดีได้

วิธีต่อไปคือการนอนหลับให้สนิท ซึ่งเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการช่วยบรรเทาความเครียดและทำให้อารมณ์ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องหัวใจ พัฒนาสมอง และทำให้ทานจุกจิกน้อยลง

ผู้เชี่ยวชาญแนะนำวิธีการพัฒนาพฤติกรรมการนอนหลับไว้ดังนี้

• ควรสร้างกิจวัตรประจำวันโดยการเข้านอนและตื่นนอนให้เป็นเวลา แม้แต่ในวันหยุดสุดสัปดาห์ การที่จะสอนร่างกายและสมองให้สงบลงได้นั้น ควรพยายามเริ่มผ่อนคลายอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงก่อนนอน ปิดการรับข่าวสารต่างๆ และเลิกใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟน การอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ ฟังเพลงผ่อนคลาย นั่งสมาธิ หรือออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายแบบเบาๆ ก็เป็นทางเลือกที่ดีด้วยเช่นกัน

• ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มบางชนิด หลีกเลี่ยงการใช้นิโคตินหรือดื่มกาแฟในช่วงบ่ายแก่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีอาการนอนไม่หลับ และไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์อย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ตื่นนอนตอนกลางดึกได้

• เตียงนอนและหมอนควรให้ความรู้สึกสบาย อากาศในห้องนอนควรเย็นสบาย ไม่ควรดูโทรทัศน์หรือทำงานในห้องนอน เพราะห้องนอนควรเป็นที่สำหรับการนอนหลับเท่านั้น

• ห้องนอนควรมืดสนิท ควรกำจัดแสงจ้าทั้งหมด รวมทั้งแสงสีฟ้าจากโทรศัพท์มือถือหรือแล็ปท็อปด้วย อาจใช้ผ้าม่านที่ช่วยให้ห้องมืดสนิท แต่ในเวลากลางวันก็ควรพยายามให้ร่างกายรับแสงจากธรรมชาติให้มากที่สุดด้วยเช่นกัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ฮาวทูสร้าง “แรงจูงใจ” เพื่อชีวิตที่มีความสุข


วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ฮาวทูสร้าง “แรงจูงใจ” เพื่อชีวิตที่มีความสุข

คงจะมีอยู่บ่อยครั้งที่คุณรู้สึกว่าตัวเองไม่มีไฟในการทำงาน รวมถึงการใช้ชีวิต หากคุณเริ่มไม่มีความสุขในการทำงาน เริ่มเบื่อกับชีวิต นั่นอาจเป็นเพราะคุณกำลังขาด “แรงจูงใจ” ในชีวิตอยู่นั่นเอง ซึ่งการไม่มีแรงจูงใจในการทำสิ่งต่าง ๆ นี้ นอกจากจะทำให้คุณรู้สึกว่าเพียงใช้ชีวิตให้ผ่านไปวัน ๆ อย่างไม่มีความสุขแล้ว ยังทำให้คุณไม่ได้แสดงศักยภาพที่แท้จริงที่มีอยู่ในตัวคุณด้วย

จะดีกว่าไหม ถ้าคุณจะได้ใช้ชีวิตอย่างสนุก มีความสุขทุกวัน และได้พิสูจน์ให้คนอื่นเห็นว่า “คุณก็มีความสามารถไม่แพ้ใคร” คุณจึงจำเป็นต้องสร้างแรงจูงใจให้ตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้


1. คุยกับตัวเอง

ชีวิตจะสำเร็จได้แค่คุณเริ่มสนใจตัวเอง เพราะการที่คุณได้คุย ได้ถาม ได้ใช้เวลากับตัวเองให้มาก จะทำให้คุณรู้ว่าตัวเองชอบหรืออยากทำสิ่งใด ซึ่งสิ่งนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีสาระก็ได้ ขอแค่เป็นสิ่งที่ทำให้คุณได้วางภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบได้ชั่วขณะหนึ่งก็พอแล้ว สิ่งที่คุณชอบนี้จะช่วยให้คุณได้รอช่วงเวลานั้น ทำให้ชีวิตของคุณดู มีอะไร ขึ้นมา แล้วก็จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป

2. เขียนสิ่งที่เราคิด

เครื่องมือที่ทำให้คุณได้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในใจของคุณอย่างเป็นรูปธรรม เพราะความคิดเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ จึงต้องใช้วิธี จดบันทึก เพื่อให้เห็นความคิดของตัวเองอย่างชัดเจน โดยลองหาเวลาให้ตัวเองได้คิดทบทวนตัวเอง แล้วพยายามเขียนสิ่งที่คิดอยู่ออกมาทั้งหมด ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดี จากนั้นค่อยมาประมวลผลในภายหลังว่าอะไรที่คุณควรเริ่มลงมือทำ

3. สอบถามจากคนอื่น

ข้อดีหรือความถนัดที่คุณอาจไม่รู้ตัว เพื่อนำมาใช้พัฒนาตัวเองให้ไปต่อได้ไกลขึ้น หรือข้อเสียอะไรที่คุณต้องปรับปรุงและไม่ควรทำอีก หากต้องการให้ชีวิตดีขึ้น จะช่วยให้คุณได้รู้เกี่ยวกับตัวเองในมุมที่คุณอาจไม่เคยมองเห็น นี่จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยให้คุณค้นพบตัวเองและมีแรงจูงใจได้ง่ายขึ้น

4. ลองลงมือทำ

คุณควรลองลงมือทำทุกอย่างที่คุณอยากทำก่อน หากไม่ชอบก็ค่อยเปลี่ยน ถึงจะเป็นการพยายามเข้าใจตัวเองที่แท้จริง หากคุณไม่ให้โอกาสตัวเองลงมือทำ คุณก็จะไม่มีทางรู้เลยว่าคุณสามารถทำสิ่งเหล่านั้นออกมาดีได้แค่ไหน จะสามารถไปต่อได้หรือเปล่า

5. หาบุคคลต้นแบบ

ถ้าคุณมีบุคคลต้นแบบ จะช่วยให้คุณมีแรงจูงใจและแรงกระตุ้นที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จได้มากขึ้น ลองหาใครสักคนที่คุณรู้สึกชื่นชอบ ชื่นชม อาจจะเป็นทัศนคติ ความสำเร็จ ความพยายาม หรือแม้แต่รูปร่างหน้าตาแบบที่คุณปรารถนา ก็สร้างแรงจูงใจให้คุณได้แล้ว

6. มีเป้าหมาย

เป็นแรงจูงใจทีจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จ ใช้เป้าหมายจะเป็นแรงกระตุ้นให้คุณต้องพยายามให้มากขึ้นหากคุณอยากจะได้สิ่งเหล่านั้น โดยอาจเป็นบ้านที่เป็นชื่อตัวเองสักหลัง รถหรู ๆ สักคัน มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงวันหยุดยาว หรือแค่เป้าหมายระยะสั้นที่เห็นผลได้เร็วก็ได้เหมือนกัน

7. ไม่ยอมแพ้

แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลาและกำลังใจมากกว่าเดิม เพราะไม่มีใครที่ลองผิดลองถูกแล้วไม่เคยพลาด เมื่อพลาดไปแล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะมัวโทษตัวเองกับสิ่งที่เป็นอดีต และแก้ไขก็ไม่ได้ด้วย คุณต้องให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่ นำสิ่งที่เคยล้มเหลวมาเป็นประสบการณ์ ที่จะไม่ทำผิดซ้ำก็พอแล้ว เมื่อคุณประสบความสำเร็จ ก็มีแค่ตัวคุณเท่านั้นที่ภูมิใจที่สุดและอยู่เคียงข้างตัวเองตลอดไป
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ข้อเสีย เมื่อทำงานตอนกลางคืน จะมีอะไรไปชมกันเลย


วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ข้อเสีย เมื่อทำงานตอนกลางคืน จะมีอะไรไปชมกันเลย

เพื่อนๆหลายๆ คนชอบช่วงเวลากลางคืน เพราะตอนกลางคืนนั้นเงียบสงัด เสียงไม่ดัง ไม่มีใครมากวนใจ อากาศก็เย็นสบาย รู้สึกดีทำให้มีสมาธิที่จะนั่งทำงานปั่นงานสุดๆ เลยใช่ไหมล่ะ? แต่จริงๆ แล้วนั้นช่วงเวลากลางคืนเป็นช่วงเวลาที่ไม่เหมาะสมกับการทำงานเลย จะส่งผลร้ายมากมายต่อร่างกายเลยด้วย แค่ทำงานกลางคืนนี่มันจะส่งผลเสียกับร่างกายอะไรขนาดนั้นคงต้องมาลองดูกันหน่อยแล้ว



1.ทำให้นาฬิกาชีวิตรวน

คนเราจะมีนาฬิกาชีวิตอยู่ ที่พอตกกลางคืนก็จะเริ่มง่วง ร่างกายต้องการพักผ่อน พอเช้ามาก็จะถึงเวลาต้องตื่นนอนทำกิจกรรมต่างๆ ในแต่ละวัน แต่ถ้าชอบทำงานตอนกลางคืนก็มักจะมานอนเอาเกือบสว่าง แล้วก้จะทำให้ตื่นสาย เป็นภาวะที่พบได้มากในวัยรุ่นและวัยทำงาน

อาการนี้เรียกว่า Delayed phase sleep disorder ส่วนบางคนจำเป็นต้องทำงานตอนกลางคืนจะมีภาวะ (SWSD = Shift work sleep disorder) ก็เลี่ยงไม่ได้จริงๆ คงต้องปรับตัวเอง มานอนกลางวันแทนอันนี้อาจจะต้องมีห้องที่มืดสนิท เอาไว้นอนเวลากลางวันแทน

2.ทำให้ระบบการย่อยมีปัญหา

คนที่นอนดึก การย่อยอาหารจะทำงานแย่ลง เพราะจะหิวไม่เป็นเวลาทำให้ต้องหาอะไรกินตอนกลางคืน แต่ตอนกลางคืนเป็นเป็นเวลาที่ไม่เหมาะกับการย่อยอาหาร เพราะเป็นช่วงร่างกายควรนอนพักผ่อน ลำไส้ก็จะทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพ

การขับถ่ายก็ติดขัด ที่แย่คือจะทำให้น้ำหนักเพิ่ม ท้องอืด ถ้าท้องผูกมากๆ พุงก็ป่องตัวก็บวมร่างกายรู้สึกไม่สดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่า เมื่อกินอาหารเข้าไปดึกๆ แล้วก็เข้านอนต่อ จะมีโอกาสนำไปเก็บสะสมให้อ้วนมากกว่าเอาออกมาใช้นะ

3.ระบบการเผาผลาญผิดปกติ

การไม่นอนตอนกลางคืน จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเครียด ที่กระตุ้นการเจริญเติบโตทางร่างกาย ในส่วนที่ควบคุมไขมันต่อกล้ามเนื้อในร่างกายน้อยลง เมตาบอลิซึ่มทำงานเผาผลาญไขมันช้าลงเพราะร่างกายไม่ได้พักผ่อน ยิ่งนอนน้อยเมตาบอลิซึ่มยิ่งทำงานได้ไม่เต็มที่

ทำให้ร่างกายรวนการเผาผลาญพลังงานผิดปกติกินไปแล้วเผาผลาญได้น้อย เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคอ้วนได้นั่นเอง

4.ส่งผลต่อความดันโลหิต

คนที่นอนดึกและนอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงจะมีความเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากขึ้น เพราะการนอนดึกทำให้ระดับฮอร์โมนเครียด (คอร์ติซอล) สูงขึ้น จนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นด้วย ยิ่งถ้าเราชอบกินอาหารเค็มๆ และชอบเที่ยวกลางคืนดื่มแอลกอฮอล์อีก ยิ่งเท่ากับเป็นการเร่งให้ตัวเองเป็นโรคนี้เข้าไปได้อีกเยอะเลยนะ

5.เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ

การนอนดึก หรืออดนอนมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจของคนเรา เพราะสารโปรตีนที่มีสะสมตัวมากขึ้นในขณะที่เราตื่นอยู่นั้นจะถูกกำจัดออกจากร่างกายโดยธรรมชาติในยามที่เราหลับ ดังนั้นหากใครที่อดนอน หรือนอนน้อยเป็นเวลานานความดันเลือดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ

เพราะสารโปรตีนตัวนี้จะไปขัดขวางการทำงานของเลือด หากอดนอน นอนน้อยแล้วจะเสี่ยงเป็นโรคหัวใจเนื่องจากจากภาวะความดันเลือดที่ผิดปกตินั่นเอง

6.อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุ

หากฝืนทำงานตอนกลางคืนประสาทตาจะอ่อนล้า และปวดมากจนบางทีก็ลามไปถึงการปวดหัวด้วย เพราะในแต่ละวันสายตาของคนเราจะทำงานหนักอยู่ตลอด โดยเฉพาะคนที่ทำงานแบบใช้สายตาเป็นหลักด้วย แถมร่างกายก็ล้าอ่อนเพลียต้องการพักผ่อนแล้ว หากเราไปทำงานกับเครื่องจักร หรือว่าขับรถก็อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้อีก ไม่คุ้มกันเลยนะจะบอกให้

7.อาจทำให้สมองเสื่อม

การทำงานตอนดึกๆ จะทำให้สมองเกิดการอ่อนล้า อยู่มาทั้งวันแล้วยังต้องฝืนทำงานกลางดึกต่อไปทั้งเหนื่อยๆ ก็ไม่ยอมไปนอนหลับพักผ่อน จะส่งผลให้สมองของเราทำงานผิดพลาด ไม่สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ หรือว่าทำงานได้ช้าลง

จะทำให้ประสิทธิภาพในการรับรู้ เรียนรู้ และ ความจำของเราก็จะแย่ลง ที่ว่า เบลอๆ เอ๋อๆ นั่นแหละจ้า แล้วคิดดูว่าถ้าอยู่แบบสมองเบลอๆ เอ๋อๆ ไปเรื่อยๆ ทำอะไรก็แย่หมดแบบนี้แล้ว สมองจะเสื่อมลงก็คงไม่แปลกแล้วล่ะ

8.ส่งผลทางจิตใจ

เพราะการหลับพักผ่อนเพียงพอ ทำให้ร่างกายนั้นหลั่งสารเคมียามนิทรา ได้แก่ เมลาโทนิน, ซีโรโทนิน และฮอร์โมนเพศ แถมยังผลิตสารเคมีบำรุงร่างกายออกมาควบคุมระบบในตัวเราให้ทำงานราบรื่น ตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น สดใส เมื่อได้พักผ่อนอย่างเพียงพอสมองจะปลอดโปร่ง

ไม่รู้สึกงัวเงีย อ่อนเพลีย หงุดหงิดอารมณ์เสียง่ายๆ แบบคนที่อดหลับอดนอนอยู่เป็นประจำนั่นเอง แถมอยู่กลางดึกก็เหงาไม่มีใครคุยด้วย ทำให้คิดมากคิดเยอะ จิตใจห่อเหี่ยว หดหู่จะเป็นโรคซึมเศร้าเข้าไปอีก


มนุษย์เราควรเข้านอนให้เป็นเวลา ทำงานใช้สมองให้เป็นเวลาดีกว่าค่ะ อย่าฝืนร่างกายฝืนธรรมชาติเลย เพราะท้ายที่สุดแล้วก็จะมาส่งผลเสียต่างๆ กับร่างกายให้ได้เจ็บป่วยให้ภายหลังเอาอีก เปลี่ยนเป็นเตรียมร่างกายให้พร้อมแล้วหาที่เงียบๆ สงบๆ สำหรับทำงานในช่วงกลางวัน จะดีกับร่างกายกว่ากันมากเลยล่ะค่ะ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปัญหา ที่มักทำให้คู่รัก เลิกรากัน รู้ไว้ซะก่อนจะสาย


วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ปัญหา ที่มักทำให้คู่รัก เลิกรากัน รู้ไว้ซะก่อนจะสาย

ปัญหา ที่มักทำให้คู่รัก เลิกรากัน รู้ไว้ซะก่อนจะสาย ปัญหาที่หลายคู่พบแล้วต้องเลิกรากันไป หรือบางคู่ก็กำลังประสบปัญหาอยู่นั้น เชื่อได้ว่าต้องมีมากกว่า 1 อย่าง วันนี้เราได้รวบรวมถึงปัญหาที่คู่รักหลายคู่ต้องพบเจอมาให้ได้อ่านกันไปดูกันได้เลยค่ะ

1.การเงิน
ฐานะทางการเงินที่แตกต่างกันมากจนเกินไปย่อมทำให้หลายคนเกิดปัญหา แม้ไม่เกิดปัญหาจากคู่ของคุณเองก็อาจเกิดจากคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเพื่อน ญาติ หรือคนที่ทำงาน จนสุดท้ายก็กลับกลายเป็นปัญหาของทั้งสองคน
2.การใช้ชีวิต
ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่ทำให้หลายๆ คู่ต้องเลิกรากันไป เหตุผลก็เพราะเมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าพ่อปาร์ตี้แต่อีกคนกลับเป็นหนอนหนังสือ พอถึงวันศุกร์แทนที่จะไปเที่ยวด้วยกัน กลับกลายเป็นชีวิตใครชีวิตมัน หากคนที่ไม่คิดมากก็จะไม่ก่อให้เกิดปัญหาขึ้นได้ แต่ก็ส่วนน้อย ยิ่งโดยเฉพาะสาวๆ ที่เป็นคนที่คิดเล็กคิดน้อยละก็ จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ได้เลยทีเดียว
3.ครอบครัว
ปัจจัยในเรื่องครอบครัวก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาเลิกรากันได้ ยิ่งในครอบครัวของคนไทยที่หากคู่ชีวิตที่คุณเลือกไม่ถูกใจคนในครอบครัวละก็การเดินทางในถนนชีวิตของคุณทั้งคู่ต้องจบลงอย่างรวดเร็วแน่นอน
4.ความเข้าใจ
หลายคู่เวลาที่มีปัญหาทะเลาะกัน ต่างฝ่ายก็ต่างใช้อารมณ์และทิฐิเข้าใส่กันอย่างไม่ยั้ง ทั้งคู่จึงเลือกที่จะเดินจากกันไป แต่จะดีกว่าหรือไม่หากใช้ความเข้าใจประคับประคองชีวิตคู่ไปกันให้จนกว่าจะสุดทาง เมื่อถึงเวลาที่ต้องลาจากจริงๆ ก็ยังคงเหลือความทรงจำดีๆ ให้แก่กันได้
5.สังคม
การที่คนสองคนรักกัน ไม่ได้หมายความว่าโลกทั้งใบมีแค่คุณสองคน แต่คนรอบข้างก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คุณทั้งคู่สามารถอยู่หรือเลิกกันได้ หากสังคมของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ทั้งเพื่อนและสังคมรอบข้างอยู่สูงกว่าอีกฝ่ายก็อาจมีความกดดันจนทำให้ทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันได้นั่นเอง
6.ทัศนคติ
ความคิดเห็นที่ต่างกันมากและยังไม่ลงรอยกันอีกต่างหาก จะเป็นชนวนเหตุที่ทำให้คุณทั้งสองคนไปกันต่อไม่ได้ แต่หากทั้งสองคนลองปรับทัศนคติให้หาจุดที่เข้ากันได้ก็จะฝ่าฝันอุปสรรคเหล่านี้ไปได้ไม่ยาก
7.เรื่องบนเตียง
ใครบอกว่าเรื่องบนเตียงไม่ใช่เรื่องสำคัญ หลายคู่ที่ต้องเลิกรากันก็เพราะเข้ากันไม่ได้ในเรื่องอย่างว่า เพราะประเทศไทยถูกทำให้ภาพจำในเรื่องบนเตียงเป็นสิ่งต้องห้ามและไม่ควรพูดคุยกัน ทำให้ไม่สามารถปรับจูนกันได้จนต้องเลิกรากันไปในที่สุด
ดังนั้นคุณทั้งคู่ควรมีความเข้าใจกันและเลือกที่จะใส่ใจกับคนข้างตัว ให้กำลังใจกันและกันเพื่อลบคำสบประมาทต่างๆ ที่รายล้อม ดีกว่าที่จะฟังคำคนอื่นๆ จนสุดท้ายต้องแยกจากกันนั่นเอง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ปิดปาก-จมูกขณะจาม เสี่ยงลมขึ้นสมอง

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ปิดปาก-จมูกขณะจาม เสี่ยงลมขึ้นสมอง

ปิดปาก-จมูกขณะจาม เสี่ยงลมขึ้นสมอง  แพทย์ต้องออกมาเตือน


นายแพทย์มนูญ ลีเชวงวงศ์ หัวหน้าห้องไอซียู เฉพาะทางด้านโรคระบบการหายใจ ผู้ป่วยหนัก และโรคผู้สูงอายุ ประจำโรงพยาบาลวิชัยยุทธ และประธานชมรมเชื้อราทางการแพทย์ประเทศไทย โพสต์ในเฟซบุ๊ก หมอมนูญ ลีเชวงวงศ์ FC ถึงกรณีพบผู้ป่วยคนไทยมีอาการ “ลมขึ้นสมอง” จากการปิดปากและจมูกด้วยมือขณะจาม และแนะนำว่าอย่าเอามือปิดปากและจมูกขณะจาม แม้จะใส่หน้ากากอนามัย เพราะลมหายใจจากการจามสามารถผ่านทะลุหน้ากากอนามัยได้เช่นกัน

 หมอมนูญระบุว่า “ลมเข้าสมองจากการเอามือปิดจมูกปิดปากขณะจาม รายแรกของโลกเกิดขึ้น 2 ครั้งในเวลาห่างกัน 3 ปีกว่า

ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 85 ปี เป็นโรคเบาหวานและไขมันสูง เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2559 มาโรงพยาบาลด้วยอาการพูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก หูข้างซ้ายอื้อ มีเสียงดัง หลังจากจามแล้วเอามือปิดจมูกปิดปากพร้อมๆกัน ได้ทำ MRI คลื่นแม่เหล็กสมอง พบมีลม (air pocket) ในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาด 7 × 4 × 3.2 เซนติเมตร ให้การรักษาตามอาการ ผู้ป่วยดีขึ้นช้าๆ และกลับมาเป็นปกติ ทำคอมพิวเตอร์สมองซ้ำ ลมคงค่อยๆดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด หายไปเองภายใน 50 วัน ได้เตือนผู้ป่วยเวลาจามห้ามเอามือมาปิดจมูกและเม้มปากอีกเด็ดขาด

วันที่ 14 พฤษภาคม 2563 ผู้ป่วยกลับมารพ. อีกครั้งหลังจากจามแล้วเอามือปิดปากปิดจมูกเพราะไม่อยากให้มีเสียงดัง หลังทำมีอาการพูดไม่ชัด หน้าข้างขวาเบี้ยว หูข้างซ้ายอื้อ มีเสียงดัง ทำคอมพิวเตอร์สมองพบลม (air pocket) ในเนื้อสมองข้างซ้ายขนาด 5.1 × 4.1 × 2.8 เซนติเมตร (ดูรูป) ตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อ 3 ปี 5 เดือนก่อน แต่ปริมาตรของลมในเนื้อสมองครั้งนี้น้อยกว่า ผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล 4 วัน อาการดีขึ้นช้าๆ กลับบ้านได้

สาเหตุของลมเข้าสมองทั้ง 2 ครั้งของผู้ป่วยรายนี้ คือจามแล้วเอามือปิดจมูกปิดปากพร้อมๆกัน ปกติความแรงของการจามทำให้ลมพุ่งออกจากจมูกและปากด้วยความเร็วสูงถึง 110 กม/ชม เนื่องจากผู้ป่วยรายนี้ปิดจมูกปิดปากขณะจาม แรงดันในช่องปากคงสูงมาก ลมผ่านจากท่อในปากเข้าหูชั้นกลางด้านซ้าย แล้วดันทะลุผ่านกะโหลกใต้สมองเข้าเนื้อสมองด้านซ้าย

นอกจากลมจะรั่วเข้าสมองจากการบังคับไม่ให้จามออกทางปากและจมูกแล้ว ยังมีรายงานแรงดันสูงทำให้ปอดรั่ว แก้วหูทะลุ ผนังช่องคอทะลุ เส้นเลือดในสมองแตกได้อีกด้วย

เพราะฉะนั้นอย่าทำร้ายตัวเองด้วยการเอามือมาปิดจมูกและปากขณะจามเด็ดขาด จามขณะใส่หน้ากากอนามัยไม่เป็นอันตราย เพราะลมสามารถผ่านหน้ากากได้”

ทางด้านเพจ Drama-Addict ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า วิธีป้องกันการฟุ้งกระจายของละอองน้ำลายขณะจามที่องค์การอนามัยโลกยังแนะนำ นอกจากสวมหน้ากากอนามัยแล้ว ในกรณีที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยอยู่ สามารถจามใส่ข้อพับด้านในข้อศอกของตัวเองได้ เพราะนอกจากจะช่วยลดการฟุ้งกระจายของละอองน้ำลายแล้ว ยังไม่ทำให้นิ้วมือสัมผัสกับละอองน้ำลายจนสามารถแพร่เชื้อไวรัสสู่สิ่งของและผู้อื่นต่อได้ด้วย แต่ให้เอาปากและจมูก "อัง" ใกล้ๆ กับข้อศอกก็เพียงพอ ไม่ต้องปิดปากและจมูกจนแน่นสนิท




ภาพจาก sanook

วันอังคารที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2563

การปฏิบัติตนที่เหมาะสม สำหรับผู้ที่หายจาก "โควิด 19"


ทั้งตัวผู้ป่วยเอง และผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับผู้ป่วยที่หายจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) อาจมีความกังวลใจในหลายๆ เรื่อง ว่าหลังจากที่รักษาตัวจนหายดีแล้ว จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอย่างที่เคยทำมาก่อนได้มากน้อยแค่ไหน กลับมาติดเชื้อซ้ำได้หรือเปล่า และมีอะไรที่ควรระมัดระวังหรือไม่ มีคำตอบมาฝากจาก อ.ดร.พญ.สุวพร อนุกูลเรืองกิตติ์ แพทย์สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ฝ่ายกุมารเวชศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย จากรายการ ติดจอ ฬ.จุฬา

 
ผู้ป่วยโควิด-19 ที่หายดีแล้ว แพร่เชื้อให้คนอื่นต่อได้หรือไม่?

ปกติแพทย์จะให้ผู้ป่วยที่รักษาจากอาการติดเชื้อโควิด-19 หายดีแล้วออกจากโรงพยาบาลได้ก็ต่อเมื่อครบระยะ 14 วันหลังจากที่เริ่มมีอาการ เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะกลับไปแพร่เชื้อให้กับคนในบ้าน ครอบครัว หรือชุมชนจะน้อยมาก เพราะการแพร่เชื้อของโรคนี้จะสูงสุดในช่วง 2 สัปดาห์แรกหลังจากที่เริ่มมีอาการแล้ว และเชื้อต้องมีการติดต่อ ส่งผ่านอย่างใกล้ชิด หากผู้ป่วยอยู่ในบ้าน คนในชุมชนแทยจะไม่มีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อใดๆ จากผู้ป่วยเช่นกัน

 
ผู้ป่วยโควิด-19 ต้องตรวจหาเชื้อซ้ำหลังหายดีหรือไม่?

ผู้ป่วยโควิด-19 ที่หายดีแล้ว หากมีอาการดีขึ้น ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อซ้ำอีก เนื่องจากวิธีตรวจหาเชื้อ สามารถตรวจจับเชื้อที่มีปริมาณน้อยได้ ดังนั้นจึงไม่แนะนำให้ตรวจเชื้อซ้ำ

 
วิธีเช็กว่าผู้ป่วยโควิด-19 ที่หายดีแล้ว จะไม่กลับมาแพร่เชื้อได้อีก

  1. ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น ไม่มีไข้ ไอ จาม และน้ำมูก
  2. ผู้ป่วยผ่านระยะเวลาเกิน 14 วัน หลังจากที่เริ่มมีอาการไปแล้ว มีโอกาสแพร่เชื้อต่อได้น้อยมาก ถือว่าผู้ป่วยหายจากโควิด-19 โดยที่ไม่ไปแพร่เชื้อให้คนอื่นได้

 
ผู้ป่วยโควิด-19 มีโอกาสติดเชื้อซ้ำได้หรือไม่?

หากผู้ป่วยไม่มีอาการโควิด-19 หลัง 14 วันเป็นต้นไป โอกาสที่จะติดเชื้อซ้ำอีกครั้งถือว่าน้อยมาก หรือแทบไม่มีเลย เนื่องจากร่างกายของผู้ป่วยจะสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมา ทำให้มีภูมิต่อการติดเชื้อโควิด-19 แล้ว
อย่างไรก็ตาม ตามแนวทางของกระทรวงสาธารณสุขจะยังแนะนำให้ผู้ป่วยพักฟื้นที่บ้านจนครบ 1 เดือน ให้พักผ่อน ดูแลตัวเองอยู่ที่บ้าน โดยที่ยังใช้มาตรการ และแนวทางเดิม

 
วิธีดูแลตัวเองของผู้ป่วย เพื่ออยู่ร่วมกับครอบครัว และคนในชุมชน

  1. รักษาระยะห่างจากคนในบ้าน 1-2 เมตร รวมถึงตอนรับประทานอาหารแทงหวยออนไลน์
  2. แยกห้องนอน
  3. ไม่ใช้อุปกรณ์ในการรับประทานอาหาร และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวต่างๆ ร่วมกัน 
  4. แยกซักเสื้อผ้า ด้วยผงซักฟอกปกติ
  5. ทำความสะอาดบริเวณที่ใช้ร่วมกันบ่อยๆ
  6. ผู้ป่วยควรพยายามไม่นำตัวเองไปเสี่ยงรับเชื้อไวรัสใหม่ๆ เช่น ไข้หวัดใหญ่ เข้าสู่ร่างกายอีก 
  7. แยกทิ้งขยะที่มีน้ำมูก หรือน้ำลายอยู่ เช่น หน้ากากอนามัยที่ใช้แล้ว โดยใส่ถุงแยกสองชั้น
  8. ผู้ป่วยที่เพิ่งหาย ควรใส่หน้ากากอนามัย รวมถึงคนในครอบครัวที่จำเป็นต้องใกล้ชิดกับผู้ป่วยด้วย
  9. ลดการสัมผัสบริเวณที่แตะบ่อยๆ รวมถึงการใช้มือสัมผัสใบหน้า จมูก ปาก
  10. ล้างมือบ่อยๆ

ติดตาม ข่าวกีฬา ข่าวประจำวัน

วันอังคารที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2563

อาหารเพิ่ม "วิตามินเอ" กินง่าย ได้ประโยชน์


วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่สำคัญ จำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและการทำงานในทุกส่วนของร่างกาย ทั้งช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ดูแลในเรื่องของผิวพรรณ ดีต่อเยื่อบุในลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ ดีต่อการมองเห็น และมีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ด้วย แต่ข้อสำคัญคือร่างกายเราไม่สามารถที่จะสร้างวิตามินเอขึ้นมาเองได้ จึงจำเป็นจะต้องได้รับวิตามินเอผ่านการรับประทานอาหารในทุกๆ วัน ดังนั้นวันนี้ Hello คุณหมอ จึงได้รวบรวมเอาสุดยอด อาหารเพิ่มวิตามินเอ มาฝากกัน


สุดยอด อาหารเพิ่มวิตามินเอ

  • มันเทศ

มันเทศ มีรสหวาน อร่อย และอุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย ทั้งไฟเบอร์ ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม วิตามินซี และแน่นอนว่าอัดแน่นไปด้วยวิตามินเอที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยมันเทศขนาดกลางหนึ่งหัว จะให้ วิตามินเอ ต่อร่างกายสูงถึง 900 ไมโครกรัมเลยทีเดียว
  • ผักโขมลวกหรือต้ม

การรับประทานผักใบเขียว นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเพราะในผักนั้นเต็มไปด้วยทั้งแร่ธาตุและวิตามินจำเป็นสำหรับร่างกาย ในผักโขมก็เช่นเดียวกัน มีทั้งแคลเซียม แมกนีเซียม มีแคลอรี่ที่ต่ำ อุดมไปด้วยวิตามินเค และวิตามินเอ โดยการรับประทาน ผักโขมต้มสุก 1 ถ้วย จะได้รับปริมาณของ วิตามินเอ ประมาณ 943 ไมโครกรัม ซึ่งเพียงพอต่อความต้องการตลอดทั้งวัน
  • ฟักทองบัตเตอร์นัท (Butternut Squash) หรือ ฟักทองน้ำเต้า

ผักในตระกูล Squash หรือผักตระกูล ฟักทอง เป็นผักที่มีวิตามินเอสูง แต่ฟักทองบัตเตอร์นัท จัดว่าเป็นพืชตระกูลฟักทองที่ให้วิตามินเอมากที่สุด นอกจากวิตามินเอแล้ว ฟักทองบัตเตอร์นัท ก็ยังให้โพแทสเซียม แคลเซียม และวิตามินซีในปริมาณสูง ที่สำคัญคือแคลอรี่ต่ำ ซึ่งดีสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนักด้วย
  • แคนตาลูป

ผลไม้สารพัดประโยชน์อย่างแคนตาลูป นำไปทำน้ำผลไม้ก็ได้ กินสดก็อร่อย ใส่เป็นเครื่องเคียงในขนมหวานก็ยิ่งดีใหญ่ เรียกได้ว่าแคนตาลูปลูกเดียว แต่นำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องความอร่อยได้หลายทางจริงๆ ซึ่งนอกจากจะอร่อยและรับประทานได้หลายรูปแบบแล้ว แคนตาลูป ก็ยังเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินเอสูงอีกด้วย โดยแคนตาลูป 1 ถ้วย จะให้ วิตามินเอ 270 ไมโครกรัม และยังได้ทั้งโพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินซีอีกด้วย
  • พริกหยวกสีแดง

พริกหยวกสีแดง เป็นผักที่ให้แคลอรี่ต่ำ พริกหยวกแดงหนึ่งลูกให้พลังงานเพียง 37 แคลอรี่เท่านั้น การรับประทานพริกหยวกแดง 1 ผลจะให้ วิตามินเอ อยู่ที่ 187 ไมโครกรัม
  • มะม่วง

ผลไม้รับหน้าร้อน ของโปรดใครหลายคนอย่าง มะม่วง จัดว่าเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่ให้วิตามินเอสูง โดย มะม่วง 1 ลูก มีปริมาณของ วิตามินเอ ราว ๆ 181 ไมโครกรัม
  • แอพริคอต (Apricot)

หนึ่งในผลไม้ที่ให้แคลอรี่ต่ำ ก็คือผลแอพริคอต ซึ่งนอกจากแคลอรี่น้อยแล้วก็ยังให้โพแทสเซียม ไฟเบอร์ และวิตามินเอ โดย แอพริคอต 1 ถ้วย ให้วิตามินเออยู่ที่ 158 ไมโครกรัม 
  • บรอกโคลีต้มสุก

สายรักผักอ่านแล้วคงยิ้มออก เพราะว่า บรอกโคลี เป็นอีกหนึ่งอาหารที่ให้วิตามินเอสูง โดยการรับประทานบรอกโคลีต้มสุก 1 ถ้วย จะได้ วิตามินเอ ที่ 120 ไมโครกรัม และที่สำคัญคือแคลอรี่น้อย เพราะบรอกโคลีหนึ่งถ้วยให้พลังงานแค่เพียง 54 แคลอรี่เท่านั้นเอง
  • ตับวัว

มากันที่เนื้อสัตว์บ้าง เพราะไม่เพียงแค่ผักกับผลไม้เท่านั้นที่ให้วิตามินเอ แต่เนื้อสัตว์อย่างตับวัว ก็ให้วิตามินต่อร่างกายด้วยเช่นกัน การรับประทานตับวัวทอดขนาด 3 ออนซ์ (หรือประมาณ 85 กรัม) จะให้วิตามินเอมากถึง 6,582 ไมโครกรัม เลยทีเดียว ถ้าใครชอบเนื้อสัตว์ล่ะก็ ไม่ควรพลาดตับวัว
  • น้ำมันตับปลา

อีกหนึ่งอาหารที่อาจจะค่อนไปทางอาหารเสริม โดยเฉพาะน้ำมันตับปลา เพราะเป็นอีกหนึ่งแหล่งวิตามินเอที่สำคัญ การรับประทานน้ำมันตับปลาหนึ่งช้อนโต๊ะ ให้ วิตามินเอ มากถึง 4,080 ไมโครกรัม ซึ่งดีกับระบบภูมิคุ้มกัน สุขภาพหัวใจ และยังอาจช่วยป้องกันอาการซึมเศร้าได้
  • พายฟักทอง

หากเป็นคนชอบของหวาน และอยากรับประทานของหวานที่ให้ประโยชน์กับร่างกายล่ะก็ อย่าลืมนึกถึงพายฟักทอง เพราะในฟักทองที่เป็นวัตถุดิบของพายนั้น มีเบต้าแคโรทีน (Beta-carotene) สารต้านอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะสาร ลูทีน (Lutein) และ ซีแซนทิน (Zeaxanthin) ที่มีส่วนช่วยในการมองเห็น และแน่นอนว่ารวมถึงวิตามินเอด้วย แค่รับประทานพายฟักทอง 1 ชิ้น ก็จะได้รับวิตามินเอราวๆ 488 ไมโครกรัม เรียกว่าทั้งอร่อยและพร้อมไปด้วยคุณประโยชน์จริงๆ
แม้ร่างกายจะไม่สามารถสร้าง วิตามินเอ ได้เอง แต่เราสามารถเพิ่มปริมาณวิตามินเอได้ผ่านการรับประทานอาหาร หมั่นกินผักและผลไม้หลากสี รวมถึงเนื้อสัตว์ให้ครบถ้วน เพื่อที่ร่างกายจะได้เต็มเปี่ยมไปทั้งพลังงานและสารอาหาร พร้อมที่จะเติบโตและสุขภาพดีได้ในทุกๆ วัน

วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2563

แพทย์ย้ำ "เครื่องดื่มแอลกอฮอล์" ฆ่าเชื้อ ”โควิด-19″ ไม่ได้


แพทย์ย้ำการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 อีกทั้งยังมีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต

นายแพทย์สรายุทธ์ บุญชัยพานิชวัฒนา ผู้อำนวยการสถาบันบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดแห่งชาติบรมราชชนนี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ทำให้ประชาชนหวาดกลัวและพยายามหาวิธีการป้องกันตนเองจากการติดเชื้อ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ หรือเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องและอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเอทิลแอลกอฮอล์ หรือเอทานอล (Ethyl Alcohol หรือ Ethanol) เป็นแอลกอฮอล์บริสุทธิ์ 95% ผลิตจากพืชประเภทน้ำตาลและพืชจำพวกแป้งเช่นเดียวกันกับแอลกอฮอล์ที่ผสมในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ถึงแม้จะเป็นชนิดของแอลกอฮอล์ที่สามารถรับประทานได้ แต่ด้วยความเข้มข้นที่สูงกว่าในเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทั่วไป ทำให้ผู้ดื่มมีภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษและในบางรายรุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จึงเหมาะสำหรับทำความสะอาด เช็ด ถู เพื่อฆ่าเชื้อ

เอทานอลสำหรับล้างแผล-ในเจลล้างมือ กินไม่ได้

เอทานอลสำหรับล้างแผล เจลล้างมือที่มีส่วนผสมของเอทานอล และ Isopropanol ไม่สามารถนำมารับประทานได้ เพราะในขั้นตอนการผลิต มีสารเคมีต่างๆ ที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยส่วนใหญ่จะมีการผสมสีเพื่อให้สังเกตุได้ง่าย นอกจากนี้ยังมีแอลกอฮอล์ที่ได้จากกระบวนการกลั่นทางปิโตรเคมี เรียกว่า เมทิลแอลกอฮอล์ หรือ เมทานอล (methyl alcohol หรือ methanol) เป็นของเหลวไม่มีสี ระเหยง่าย ติดไฟง่าย มักจะเติมสีเพื่อความแตกต่างในการใช้งานกับเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งเมื่อโดนผิวหนังจะรู้สึกเย็น นิยมใช้เป็นตัวทำละลายในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว มีฤทธิ์ทำลายเนื้อเยื่อ หากเผลอรับประทานเข้าไปอาจจะทำให้มีอาการตาพร่ามัว มองไม่ชัด การได้รับเมทิลแอลกอฮอล์ หรือ เมทานอล ในปริมาณมากจะทำลายประสาทตาจนตาบอดถาวร ที่สำคัญยังมีผลต่อระบบหายใจ ทำให้ไตอักเสบ กล้ามเนื้อตับตาย หรือโลหิตเป็นพิษ อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด
ขณะที่ นายแพทย์มานัส โพธาภรณ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจาก การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อหวังฆ่าเชื้อโควิด-19 อาจเป็นสาเหตุให้ผู้ดื่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อโควิด-19 ได้ โดยเฉพาะผู้ที่นิยมดื่มเป็นประจำมีโอกาสรับเชื้อได้ง่าย เพราะเมื่อแอลกอฮอล์เข้าสู่ร่างกาย จะถูกดูดซึมและส่งต่อการทำงานในทุกระบบของร่างกาย เข้าไปทำลายระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่เต็มที่ ส่งผลให้ให้เกิดการติดเชื้อต่าง ๆ ง่ายขึ้น การรวมกลุ่มเพื่อดื่มสังสรรค์ ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการรับเชื้อจากการสัมผัสหรือใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น การดื่มแอลกอฮอล์จากแก้วเดียวกันหรือหลอดเดียวกัน ทั้งนี้การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก นอกจากจะไม่สามารถฆ่าเชื้อโควิด-19 ได้แล้ว อาจทำให้เกิดภาวะแอลกอฮอล์เป็นพิษเฉียบพลัน อันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้

วันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2563

"อยู่บ้าน" อย่างไรให้ร่างกายฟิต พิชิต "โควิด-19" ได้ชะงัด


ในปัจจุบันนอกจากจะต้องระวังการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) แล้ว สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับการใช้ชีวิต คือ ความยากในการออกกำลังกาย เพราะสถานที่ออกกำลังกายต่างๆ ทั้ง ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สนามฟุตบอล สนามแบดมินตัน สนามเทนนิส หรือสนามกีฬาอื่นๆ ต่างถูกปิดชั่วคราว ซึ่งหากคุณเป็นผู้ที่ชอบออกกำลังกายเป็นทุนเดิม การอยู่บ้านหรือ Work From Home อาจจะทำให้น้ำหนักขึ้น สุขภาพอ่อนแอลง ไปจนถึงมีความหงุดหงิดได้ง่าย
             ซึ่งหลายๆ ท่านอาจมีคำถามว่า  “หยุดออกกำลังกายนานเท่าใด ร่างกายจะเริ่ม อ่อนแอลง ความอึดลดลง หรือกล้ามเนื้อเล็กลง” นพ.เกรียงศักดิ์ เล็กเครือสุวรรณ แพทย์ผู้ชำนาญการด้านคลินิกระงับปวด และผ่าตัด ข้อสะโพก ข้อเข่า ข้อไหล่ โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ให้คำตอบแยกเป็น 2 กรณี ดังนี้
  1. ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Muscle Strength) พบว่ากล้ามเนื้อจะค่อยๆ อ่อนแอลงอย่างช้าๆ หลังจากหยุดออกกำลังกาย ขนาดของกล้ามเนื้อจะค่อยๆ ลดลง เมื่อครบ 3 สัปดาห์ ขนาดของกล้ามเนื้อถึงจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ตามรายงานการวิจัยของ D. Bubnis (2018) แต่กล้ามเนื้อสามารถกลับมาแข็งแรงเท่าเดิมได้อย่างรวดเร็วหากกลับมาออกกำลังกาย โดยใช้เวลาฟื้นฟู 3 สัปดาห์เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นในช่วง Work From Home ครั้งนี้ยาวนานกว่า 3 สัปดาห์ จึงควรฝึกออกกำลังกล้ามเนื้ออย่างสม่ำเสมอ
  2. ความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อหัวใจ (Cardio Endurance) อันนี้ถือว่ามีความสำคัญ เพราะความแข็งแรง และความอึดของกล้ามเนื้อหัวใจจะลดลงอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 2-3 วันหลังจากการหยุดออกกำลังกาย จากงานวิจัยของ Charles R. Pedlar (2018) พบว่า นักวิ่งมาราธอน 21 คน ที่ลดปริมาณการซ้อมลง 4 สัปดาห์ จะเสียความแข็งแรงหรือความฟิตของกล้ามเนื้อหัวใจลงอย่างชัดเจนถึงร้อยละ 25 แต่หากเป็นมือสมัครเล่นทั่วไปแล้ว การหยุดออกกำลังกายเป็นเวลาเท่ากันนี้ จะทำให้ความแข็งแรงลดลงถึงร้อยละ 80-90 เลยทีเดียว

 
ปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลต่อการเสียความแข็งแรงของกล้ามเนื้อกัน

- อายุ และ เพศ  เนื่องจากอายุที่มากขึ้นส่งผลให้ คงสภาวะความแข็งแรงหรือความฟิตได้ยากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยหากเปรียบเทียบ คนอายุ 65-75 ปี กับ 20-30 ปี ผู้สูงอายุในกลุ่มแรกจะเสียความแข็งแรงไปเร็วกว่าถึง 4 เท่าเลยทีเดียว  สำหรับเพศ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงนั้น ไม่มีผลต่อการถดถอยของความแข็งแรง คือจะเสียความแข็งแรงด้วยความเร็วเท่าๆ กัน
- วัยหมดประจำเดือน พบว่าการลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิงหลังหมดประจำเดือน จะส่งผลให้ปริมาณและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อลดลง

คำถามต่อไปที่พบได้บ่อยในช่วงนี้คือ “หากกลับมาออกกำลังกายหลังจากหมดช่วงโควิด-19 แล้ว จะใช้เวลานานไหมกว่าจะแข็งแรงเท่าเดิม ?” สรุปให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้
- คนที่เคยออกกำลังกายอยู่ก่อนแล้ว จะสามารถกลับไปแข็งแรงดังเดิมได้ง่ายกว่าคนที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
- กล้ามเนื้อของนักกีฬา หรือ ผู้ที่ออกกำลังกายเป็นประจำ จะมีหน่วยความจำเกิดขึ้น โดยสามารถจำได้ว่า กล้ามเนื้อเคยมีขนาดเท่าใด และทำงานชินกับกิจกรรมแบบใด เพราะฉะนั้นหลังจากการกลับมาออกกำลังกายจะกลับมาแข็งแรงดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว ในระยะเวลา 3-6 สัปดาห์
- กล้ามเนื้อของคนทั่วไปก็มีหน่วยความจำเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นจะกลับมาแข็งแรงดังเดิมได้เร็วกว่าเริ่มต้นฝึกใหม่ๆ แต่ใช้เวลามากกว่านักกีฬา (มากกว่า 3-6 สัปดาห์)


แล้วจะทำอย่างไร ถึงจะอยู่บ้านอย่างแข็งแรงพร้อมสู้กับโควิด-19
 ได้

  1. ออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30-120 นาที ขึ้นกับความฟิตของแต่ละคน
  2. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือนานเกินไป เพราะพบว่า 3-72 ชั่วโมง หลังการออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะเกิดการอ่อนล้า ทำให้ภูมิคุ้มกันลดลงในระยะเวลาดังกล่าว ส่งผลให้ง่ายต่อการติดเชื้อไวรัส นอกจากนี้จากรายงานการวิจัย ยังพบว่าเพิ่มโอกาสที่จะติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจอีกด้วย
  3. ความหนักที่เหมาะสมจึงดูจากระดับการเต้นของหัวใจ ซึ่งควรออกกำลังที่ระดับการเต้นหัวใจ (Heart rate training zone) ที่ 2 ระยะเวลาขึ้นกับความฟิต โดยจะอยู่ที่ 30-120 นาที
  4. พักผ่อนอย่างเพียงพอ สำคัญเทียบเท่ากับการออกกำลังกาย ความสมดุลระหว่างสองสิ่งนี้จะทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น เป็นความเข้าใจผิดที่คิดว่าการออกกำลังกายอย่างหนักจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกัน สามารถต่อสู้กับไวรัสได้ ความสมดุลระหว่างการออกกำลังกาย และการพักผ่อนต่างหากคือสิ่งที่สำคัญ